วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

JAPAN TATTOO

     ความเป็นมาของการสักแบบญี่ปุ่นที่มีเผยแพร่ยังแนะนำให้รู้จัก กับหลักฐานการสักของญี่ปุ่นซึ่งถูกค้นพบจากรูปปั้นดินเหนียวมีการเพ้นท์บน หน้า แกะสลักลวดลายเป็นลายสักมี อายุเก่าแก่ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชหรือมากกว่า นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นที่ถูกค้นพบอายุมากกว่าด้วยเช่นกัน
     จาก ประวัติการสักของญี่ปุ่น ที่มีความเป็นมายาวนานเช่นเดียวกันกับการสักของจีน รอยสักของสองประเทศนี้จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ส่วนสีสันการสักฝั่งยุโรป อเมริการูปแบบการสักเป็นแบบสมัยใหม่หลากหลายมีการสักทุกรูปแบบ


รูปรอยสัก
-เทพเจ้า
-ปลาคราฟ
-มังกร
-วัด
-เครื่องรางญี่ปุ่น






Old School Tattoo

       การสักแนวนี้เริ่มต้นมาจากประเทศอเมริกา โดยกลุ่มที่เริ่มสักแนวนี้คือกลุ่มทหารเรือของชาวอเมริกันหลังจากนั้นก็เป็นนิยมของผู้ขับ Chopper แล้วก็เริ่มเป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นนับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้
  
     รูปรอยสัก
-หัวใจ
-รูปผู้หญิง
-ไพ่ การพนันต่างๆ
-เกี่ยวกับศาสนา
-กระโหลก
-ดอกกุหลาบ


การลบรอยสัก

 

- การผ่าตัดออก (SURGICAL EXCISION) เหมาะในรายเป็นรอยสักที่มีขนาดเล็ก หรือเป็นจุดๆ จะได้มีแผลที่มีขนาดเล็ก แต่ในรายที่มีรอยสักขนาดใหญ่ อาจจะใช้ตัวขยายเนื้อ (TISSUE EXPANSION) ช่วยเหลือได้
- การกรอผิวด้วยเครื่องกรอผิว (DERMABRASION) ในรายที่เป็นรอยสักมืออาชีพ การใช้การกรอผิวอย่างเดียว หรือร่วมกับการใช้เกลือแกงบริสุทธิ์จะช่วยให้ได้ผลดี ซึ่งในรายที่สักตื้นๆ การกรอผิวมากกว่าสองครั้งสามารถให้ได้ผลดีแผลเป็นน้อย ซึ่งในการทำครั้งที่สอง ควรจะรอประมาณ 3 ถึง 6 เดือน
- การลอกด้วยสารเคมี (CHEMICAL PELING) มักใช้กรดบางชนิด หรือสาร PHENOL ทำให้เกิดเป็นรอยแผลไฟไหม้ขึ้นบริเวณรอยสัก แต่วิธีนี้มักจะมีผลแทรกซ้อนสูง จึงไม่ค่อยใช้กัน
- การสักเพิ่มขึ้น (OVERTATTOOING OR RETATTOOING)
- การลบด้วยไฟฟ้า (ELECTRIC CAUTERY)
- การลบด้วยเครื่องเลเซอร์ (LASER BEAM) ที่นิยมใช้กันได้แก่ Q-SWITCHEDND-YAG และ Q-SWITCHED RUBY LASER ซึ่งมักจะได้ผลดีในรายที่เป็นสีน้ำเงิน และดำ ซึ่งวิธีนี้ได้ผลดี และมีผลข้างเคียงเช่นกัน ได้แก่ ผิวหนังเป็นรอยริ้ว หรือเป็นรอยด่างขาว

วิธีการสัก


     ปัจจุบันการการสักพัฒนาไปมาก เครื่องมือที่เป็นที่นิยมที่สุดเป็นเข็มที่ใช้มอเตอร์ในการทำให้ขยับแทงในผิวหนังลึกระหว่าง0.6-22 มิลลิเมตร เมื่อแทงลงไปหมึกจะแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อ ดูดซึมเก็บสะสมไว้ โอกาสที่จะเปิดปฏิกิริยาที่เป็นเชิงลบจากหมึกที่ใช้สักมีน้อยมาก โดยปกติแล้วสิ่งแปลกปลอมจะถูกขจัดจากร่างกายโดยใช้กลไกป้องกันตามธรรมชาติ แต่อนุภาคของหมึกนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะถูกขจัดออกไปด้วยกลไกนี้ได้


    

ขณะเดียวกันการสักอาจจะก่อให้เกิดอันตรายจากการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ เช่น impetigo, staph infection, cellulitis ตลอดจนปฏิกิริยาจากสีซึ่งสักลงไปปัจจุบันใช้สารที่นิยมใช้เป็นสีหลายชนิดมักเป็นโลหะหนัก เช่น สารปรอท แร่เหล็ก แร่โคบอลด์ สารเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างโดยเฉพาะสารสีแดง (cinnabar) ของโลหะจะพบได้บ่อยที่สุด





ประวัติความเป็นมาของการสัก

       เริ่มต้นจากที่กรีก การสักเป็นการทำสัญลักษณ์เฉพาะใบหน้าของทาส และ อาชญากร ต่อมาการสักเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรป ต่อมาประมาณ ค.ศ. 787 การสักบนใบหน้าถือเป็นการลบหลู่ต่อพระผู้เป็นเจ้า
    ในประเทศไทย การสัก หรือ สักเลกนั้นเป็นการทำเครื่องหมายที่ข้อมือ เพื่อแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง แต่ถูกยกเลิกไปในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนที่หน้าผาก หรือการสักท้องแขนใช้กับผู้ต้องโทษจำคุก แต่ยกเลิกในปี พ.ศ. 2475 รวมทั้งการสักยันต์เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ
     ในญี่ปุ่น การสักเรียกว่า Irezumi ซึ่งมีความหมายว่าการเติมหมึก คาดว่าเริ่มปรากฏในประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 การสักจะประทับตาคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากร จนกระทั่งเริ่มมีการสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคมฐานะชั้นต่ำที่สุด ลวดลายต่างๆมักเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนา และนิทานพื้นบ้าน